-->

    พลิกฟ้าสยบปฐพี ตอนที่ 2

    พลิกฟ้าสยบปฐพี ตอนที่ 2.

    ฉินยี่ จ้องมองไปที่ เย่ฟู่เทียน ด้วยสายตาดุร้าย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา. ทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนในการทดสอบความสามารถของผู้ที่สมัครเข้ามาในสำนัก. มีแค่เย่ฟู่เทียนที่อายุ 12 ปี เมื่ออยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโตจากสำนักต่างๆ รอยยิ้มของเขาดูเย่อหยิ่งและเป็นธรรมชาติ. แตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ.

    ผลการทดสอบครั้งนั้น. คือ การรับรู้ของปราณวิญญาณฟ้าดินของเขาอยู่ระดับผู้มีพร สวรรค์. เป็นผู้ฝึกตน ที่เกิดมาพร้อมกับวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาก.

    ตอนนี้สามปีผ่านไปแล้ว พลังการต่อสู้ของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย. และทำให้ระดับของเขายังคงอยู่ที่เดิม.  เขาทำตัวสบายๆขี้เกียจและมักโดดเรียนเป็นประจำ. อย่างไรก็ตาม สายตา ของเขายังดู เย่อ หยิ่ง มั่นใจอยู่เสมอ.

    “จะทำยังไงถ้าเจ้าไม่สามารถทำได้?”  ฉินยี่ถาม

    “แล้วแต่ศิษย์พี่เลย” เย่ฟู่เทียนกล่าว

    “อย่าเอาอนาคตของ หยู๋เซิงไปเสี่ยงกับเจ้า”  ฉินยี่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่มีใจเด็ดเดี่ยวที่นั่งอยู่ข้างหลังเย่ฟู่เทียน.

    หยู๋เซิง มีความสามารถระดับสูง ของการรับรู้ ธาตุ ทอง และยังอยู่ขั้นปลุกพลัง ระดับ8 ร้อยรูปแบบ. แข็งแกร่งกว่าข้าที่อยู่ขั้นปลุกพลังระดับ7 ลึกลับ . เจ้าไม่ควรไปฉุดอนาคตของเขา ทำเขาล่าช้า.

    "ได้" เย่ฟู่เทียนพยักหน้า แต่มันจะเป็นไปได้ไหม?

    ฉินยี่เดินกลับไปหน้าห้อง.  เธอกวาดสายตาที่สวยงามของเธอไปรอบๆห้องและกล่าวว่า “เหลือเพียงหนึ่งเดือนก่อนการสอบในฤดูใบไม้ร่วงนี้.  จงใช้เวลาที่เหลืออย่างฉลาด ถ้าเจ้ารอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะมีรุ่นน้องพวกเจ้าร่วมการแข่งขันด้วย. โดยเฉพาะเจ้า หลิงเสี่ยว เจ้าอยู่ในระดับ 6 ไร้เทียมทาน ขั้นปลุกพลัง. และ เฟิงฉิงเสี่ย เจ้าอยู่ในระดับ 5 ศักดิ์ สิทธิ์ ขั้นปลุกพลัง. เจ้าอยู่ระดับนี้มานานเกินไปแล้ว ข้า อยาก ให้เจ้าผ่านการทดสอบก่อนที่จะถึงปีหน้า”.

    เจ้าคงเข้าใจ ระดับของการฝึกตน. ขั้นที่ 1 คือ. การปลุกพลัง. แบ่งการปลุกพลังออกเป็น  9 ระดับ ได้แก่. 
    1 รวบรวมลมปราณ. 
    2 ขัดเกลาร่างกาย. 
    3 เปิดเส้นลมปราณ. 
    "4 กระดูกเหล็ก". 
    5 ศักดิ์ สิทธิ์. 
    6 ไร้เทียมทาน. 
    7 ลึก ลับ. 
    8 ร้อยรูปแบบ. 
    และระดับสุดท้าย ระดับที่ 9 คือ. หนึ่งเดียว.

    เพื่อที่จะได้เป็นศิษย์ภายใน ของสำนักชิงโจว พวกเจ้าต้องอยู่ในขั้นปลุกพลัง ระดับที่ 7 ลึก ลับ ก่อนอายุ18. และต้องเข้ารับการสอบก่อนฤดูใบไม้ร่วง.

    "ศิษย์พี่ฉินวางใจได้" หลิงเสี่ยว พยัก หน้าและตอบ. เฟิงฉิงเสีย กำมือ อย่าง มุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายของเธอ.

    "แยกย้ายกันไป" ฉินยี่พูดเบา ๆ และเดินออกไปจากห้องเรียน สายตาของเด็กผู้ชายหลายคนมองตามร่างที่สง่างามของเธอ ในที่สุดเมื่อฉินยี่หายลับตาไป. สายตาที่ดุร้ายก็มองไปที่เย่ฟู่เทียน. เจ้าคนไร้ยางอาย. เจ้ากล้าดูถูกเทพธิดาในใจของพวกข้า.

    "เย่ฟู่เทียน" เสียงที่เย็นชาดังขึ้นและดึงดูดความสนใจของคนจํานวนมาก. เจ้าของเสียงคือหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังของเย่ฟู่เทียน เธอชื่อ. เฟิงฉิงเสีย.

    เธออายุ15ปี ได้ปรากฏตัวอย่างสง่างาม ดวงตา และใบหน้าเรียวงาม. ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเยาว์วัย ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์. เมื่อนางลุกขึ้นยืน ขาเรียวยาวคู่นั้นพลันตั้งตรง ส่วนโค้งเว้าโดดเด่น.

    “เจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง?”  เฟิงฉิงเสียจ้องมองที่เย่ฟู่เทียนด้วยความโกรธ.

    เย่ฟู่เทียนมองไปที่ความโกรธที่ไม่อาจบอกได้ของหญิงสาว. เขายกคิ้วขึ้นและยิ้ม "เจ้าจะไม่หึงใช่ไหม?

    ดวงตา คู่งามของเฟิงฉิงเสียชะงักไป. เธอมองไปที่อีกฝ่ายอย่างหมดคําพูด และพูดขึ้นว่า "เรื่องลุง เย่ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร? "

    บอกท่านพ่อ?" เย่ฟู่เทียนกระพริบตา และนึกถึงคำพูดของพ่อของเขาที่เคยบอกว่า. ฉิงเสีย มีก้นงอนรูปร่างสวยงาม. เย่ฟู่เทียนมองไปที่ส่วนโค้งเว้าที่เว้าแหว่งของเฟิงฉิงเสีย และแสดงออกถึงความ แปลก ประหลาด ในใจของเขา.

    "หัวเจ้าคิดอะไรอยู่? ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังเด็ก เรื่องมีลูกก็ค่อยคิดทีหลัง" เย่ฟู่เทียนพูดอย่างจริงจัง เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เด็กหนุ่มหลายคนในห้องก็รู้สึกโกรธ.

    ไอ้สาระเลวนี่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ทำเรื่องสกปรกกับศิษย์พี่หญิงฉิน ต่อหน้าทุกคนในห้อง และตอนนี้เขาได้กล่าวคำพูดที่น่ารังเกียจเช่นนี้กับเฟิงฉิงเสีย เด็กสาวที่บริสุทธิ์อายุพึ่งสิบห้าปี.

    เฟิงฉิงเสียตกตะลึง. จากนั้นในหัวก็นึกขึ้นได้ว่าลุง เย่ เคยล้อเล่นกับพ่อของเธอ ว่าจะให้เธอแต่งงานกับเย่ฟู่เทียนและมีลูก ด้วย กัน. ใบหน้าสวยของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที. เจ้าคนหน้าด้านนี่จงใจเปลี่ยนความหมายของเธอหรือเปล่า?

    “ข้าหมายความว่าถ้าเจ้าถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลังจากการสอบตก เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้กับพ่อของเจ้าได้ยังไง? ” เฟิงฉิงเสียหายใจแรงหน้าอกของเธอยกขึ้นเธอไม่รู้ว่า เย่ฟู่เทียนกำลังคิดอะไรอยู่. 

    เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อว่าเย่ฟู่เทียนที่มีพลังระดับ 1 จะผ่านการสอบฤดูใบไม้ร่วงที่กําลังจะมาถึงได้.

    “ข้าจะผ่าน” เย่ฟู่เทียน กล่าวในขณะที่เขามองเธอและพยักหน้าเล็กน้อย.

    “งั้นหรอ เจ้าติดอยู่ในระดับแรกของขั้นปลุกพลังมา3ปี แล้วแต่เจ้าก็ยังปากดี? เอาจริงๆ เย่ฟู่เทียนเจ้า ลองสะกดคำว่า ‘อัปยศ’ ให้ข้าฟังหน่อย” เสียงที่ดูถากถางที่มาจากข้างหลังของเขา. เมื่อมองกลับไปจะเห็นว่าเขาคือ หลิงเสี่ยวเด็กชายที่นั้งอยู่ข้างหลัง เฟิงฉิงเสีย.

    หลิงเสี่ยวอยู่ในระดับ 6 ไร้เทียมทาน ของขั้นปลุกพลัง.  เขามีพรสวรรค์ในการควบคุมธาตุ ลม. เขาถูกจัดอันดับว่าเป็นเด็กอายุ 15 ปีที่ไม่ธรรมดาในสำนักชิงโจว. เขาหวังว่าเขาจะเป็นศิษย์ภายใน หลังจากผ่านการทดสอบปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้า.

    ขณะที่เขาพูดเขาไม่ได้มองไปที่ เย่ฟู่เทียนตาของเขาจับจ้องไปที่ เฟิงฉิงเสีย “เย่ฟู่เทียนเจ้าเป็นคนที่แย่ที่สุดในชั้นเรียนนี้ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระกับสาวที่มีพรสวรรค์อย่าง เฟิงฉิงเสียได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีความมั่นใจมากเกินไป ไม่แปลกที่คนจะเรียกเจ้าว่า “คนไม่รู้จักกลัว”

    คำพูดของหลิงเสี่ยวเหมือนเป็นตัวแทนของคนในห้องที่ตอนนี้กำลังมองไปเย่ฟู่เทียนพวกเขาเชื่อว่าเขาเป็นคนที่หน้าไม่อายที่สุดในชั้นเรียน

    หยู๋เซิงเดินไปข้างๆเย่ฟู่เทียนโดยไม่สนใจการมีตัวตนของเขามีกลิ่นอายของพลังซึ่งได้รับความสนใจจากสายตาของคนอื่นๆ

    “พี่ชายหยู๋” เฟิงฉิงเสียพึมพำ

    “ว่าไง” หยู่เซิงจ้องไปที่หลิงเสี่ยวอย่างไม่ตั้งใจ เป็นสายตาที่ดูทรงพลัง

    “คนที่ไม่รู้จักกลัวเหรอ?”  เย่ฟู่เทียนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของหลิงเสี่ยวความจริงเขาได้ยินคำสบประมาทมามากมายในช่วงสามปีที่ผ่านมามันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะดูถูกคนอื่นๆเพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีสาวสวยอยู่ด้วย

    “เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งใช่มั้ย?”  เย่ฟู่เทียนกล่าว

    “สำหรับการบ่มเพาะ? ไม่เป็นปัญหาเลยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับขี้แพ้อย่างเจ้า  หลิงเสี่ยวมั่นใจเพราะว่า เย่ฟู่เทียนนั้นติดอยู่ในขั้นแรกของขั้นปลุกพลังมาเป็นเวลานานและเขามักจะไม่อยู่ในชั้นเรียนเสมอๆ

    “เอาล่ะงั้นบอกข้าทีว่านักรบสามารถเอาชนะ ผู้วิเศษที่ใช้ธาตุไฟและโลหะได้ยังไง?”  เย่ฟู่เทียนถามขึ้นอย่างฉับพลัน

    หลิงเสี่ยวลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างฉุนเฉียว “เจ้าล้อเล่นกับข้าเหรอ?”  แม้แต่ผู้วิเศษที่ใช้เพียงธาตุเดียวก็สามารถเอาชนะนักรบได้เว้นเสียว่าผู้วิเศษคนนั้นจะโง่เข้าไปใกล้ระยะการโจมตีของนักรบ ในการต่อสู้ตัวต่อตัวมีเพียงผู้วิเศษเท่านั้นที่จะชนะ”

    เวทมนต์ของผู้วิเศษสามารถโจมตีได้จากระยะไกลได้ซึ่งมีประโยชน์มากกว่านการต่อสู้กับนักรบ

    “งี่เง่า นักรบจะชนะเมื่อเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่า” เย่ฟู่เทียนกล่าวอย่างเหน็บแนม หลิงเซียดูสับสน ทุกคนมองไปที่เย่ฟู่เทียนและสงสัยว่าทำไมเขาถึงหน้าด้านขนาดไหนถึงได้ถามคำถามแบบนี้

    “เจ้าถามคำถามเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างระดับชั้นที่แตกต่างกันโดยไม่บอกข้า คำถามแบบนี้จะมีความหมายยังไง? ”  หลิงเสี่ยวถามกลับ

    “ระดับเดียวกันใช่มั้ย? งั้นจะเกิดอะไรถ้านักรบมีความแข็งแกร่งและความว่องไวมากขึ้น?  เย่ฟู่เทียน ถามอีกครั้ง คนอื่นๆรู้ว่าเขาทำอะไรบางอย่าง  นักรบมีพลังเพิ่มขึ้นและโจมตีแบบสายฟ้าแลบ  ด้วยความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นนักรบสามารถเข้าประชิดตัวผู้วิเศษได้อย่างรวดเร็ว

    “เอาเถอะเจ้ากำลังพูดถึงผู้วิเศษที่ใช้ธาตุไฟและโลหะ เขามีเกราะเวทย์ไฟและเกราะเวทย์โลหะอยู่ แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ระยะประชิดก้ไม่มีทางที่ผู้วิเศษจะแพ้ได้” หลิงเสี่ยวหัวเราะ

    “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้านักรบอาละวาด? นี่เป็นเทคนิคเฉพาะในการทำลายเกราะ ด้วยการจดจ่อกับพลัง เกราะทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับกระดาษแผ่นเดียว” เย่ฟู่เทียนกล่าวต่อ “สำหรับการโจมตีของผู้วิเศษก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย”

    หลิงเสี่ยวเริ่มเศร้าใจ ในความเป็นนักรบมีความแข็งแกร่งและความว่องไว้มากขึ้นเขาก็สามารหลบการโจมตีของเวทมรต์ได้  เย่ ฟู่เทียนจัดจุดได้ดี

    “การสนทนานี้ไม่มีอะไรนอกจากกลยุทธ์บนกระดาน หยุดแค่นี้”  หลิงเสี่ยวไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้จากการถกเถียง

    “ใช่ ผู้วิเศษจะแพ้นักรบได้ยังไง?”  มีคนเห็นด้วย

    “เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งที่เจ้ารู้มาจากในหนังสือและทำเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่าง เอาล่ะงั้นตอบคำถามง่ายๆนี้หน่อย : หลายๆคนแตกต่างกันยังไงจากขั้นแรกของการบ่มเพาะพลัง?”  เย่ฟู่เทียนถามต่อ

    “ผู้ฝึกตนจะรู้สึกว่าพลังชี่จากจักรวาลถูกรวบรวมมาที่ตัวเขา  ผู้วิเศษจะรู้สึกถึงพลังชี่ได้ดีกว่าดังนั้นเขาสามารถรวบรวมพลังบริสุทธิ์ได้มากกว่า ดังนั้นถ้าพูดถึงการรวบรวมพลังชี่มีบางอย่างที่สำคัญแตกต่างกันอยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับการบ่มเพาะทั่วไปจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับการรวมรวมของผู้วิเศษแต่ละคนจะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง” หลิงเสี่ยวตอบช้าๆอย่างมั่นใจ

    “โง่”.  เย่ฟู่เทียนเหลือบมองหลิงเสี่ยวด้วยความสบประมาทแล้วหันหลังให้เขาและเดินออกไป

    “เจ้าหมายถึงอะไร?” หลิงเสี่ยวกล่าวอยู่ข้างหลังของเย่ฟู่เทียน”แกล้งพูดแบบนั้นแล้วเดินออกไปเพราะเจ้าตอบไม่ได้ล่ะสิ? ไอ้ขี้แพ้”

    “เย่ฟู่เทียนเป็นคนไม่ได้เรื่อง” ผู้คนต่างบ่นพึมพำ

    ทันใดนั้นมีแสงเปล่งออกมาที่ด้านหลังของเย่ฟู่เทียนมันคือเมฆของพลังชี่ที่กระจายไปรอบๆตัวเขาเหมือนกับสายรุ้งที่สวยงาม  ทำให้นักเรียนในห้องประหลาดใจอย่างมาก

    เย่ฟู่เทียนพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งคนที่อยู่ในระดับรวบรวมพลังอาจจะแตกต่าง บางคนอาจจะอยู่เหนือกว่าเช่นเขา

    หลิงเสี่ยวดูไม่พอใจกับภาพนี้ แสงที่ส่องประกายมาจาก เย่ฟู่เทียนสดใสจนเขาแทบไม่เชื่อว่าเขาอยู่ในการปลุกพลังระดับแรก ,สะสมพลัง มันเป็นความจริงหรอ?

    หยู๋เซิงตามเย่ฟู่เทียนออกไป หลังจากที่พวกเขาออกไปจากห้องเรียนทกุคนก็ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะได้เห็น

    “ข้ายอมรับว่าไอ้คนไม่ได้เรื่องนั่นมีเอกลักษณ์ในระดับสะสมพลัง”

    “แล้วมันยังไงล่ะ?  เขาติดอยู่ในระดับนั้นมาสามปีแน่นอนว่ามันต้องมีความแตกต่าง ถ้าพวกเราติดอยู่ที่ระดับแรกพวกเราก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

    “ถูกต้อง เขาติดอยู่สามปีแล้ว แต่เขายังกล้าอวดดีอย่างงั้นเหรอ?”

    “แถมเขายังกล้าพูดจาสกปรกกับศิษย์พี่ฉินและเฟิงฉิงเสียอีก? นั่นเป็นเรื่องที่หยาบคายมาก!”

    “ง่ายๆเลยนะหลิงเสี่ยว ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงเจ้าก็จะขนะเขาได้ทันทีถ้าเขากล้าที่จะท้าทายเจ้า” มีคนพูดขึ้นมา คนอื่นๆก็เหมือนจะเห็นด้วย

    หลิงเสี่ยวรู้สึกลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะรู้สึกมั่นใจอีกครั้ง คนอื่นพูดถูก; ผู้ฝึกตนระดับต่ำอย่างเย่ฟู่เทียนนั้นไม่ทำให้เขาสับสน

    “เฟิงฉิงเสียเธอเป็นเด็กอัจฉริยะข้ารู้ว่าเจ้ารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก  อยู่ห่างจากเขา” มู่หลงฉิงกล่าว เธอเป็นเพื่อนของเฟิงฉิงเสียและยายามที่จะโน้มน้าวให้เธออยู่ห่างจาก เย่ฟู่เทียนเธอมองไปที่ เย่ฟู่เทียนซะเป็นส่วนใหญ่

    “เขาออกไปข้างใช่ไหม?”  เฟิงฉิงเสียดูฉุนเฉียว

    มู่หลงฉินสังเกตว่าเฟิงฉิงเสียดูเฟุ้งซ่าน เธอพูดอย่างจริงจัง “ตื่นเถอะสาวน้อย เจ้าจะได้รับการบ่มเพาะอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดถึงอนาคตของเจ้าอย่างจริงจัง การที่ไปอยู่ใกล้ๆเขาอาจจะทำลายชื่อเสียงของเจ้าได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย  เจ้าเคยคิดถึงคนที่เป็นห่วงในอนาคตของเจ้าบ้างมั้ย?  มันคุ่มค่ากับคนอย่างเขาเหรอ?”

    เฟิงฉิงเสียขมวดคิ้วเธอพูดไม่ออก เธอยังไม่เคยคิดถึงอนาคตมาก่อน

    “ถึงเวลาที่ต้องโตขึ้นแล้ว อยู่ห่างจากเขา,ตลอดไป” มู่หลงฉิงกล่าว


    โพสต์ล่าสุด